สาวตะลึง รถติดหนักมากแต่มีคันหนึ่งวิ่งฉิว ซูมดูแล้วอ๋อเลย ทำไมไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

สาวงง รถติดหนักมากแต่มีคันหนึ่งวิ่งฉิว สะกิดถามแฟนหนุ่มให้เฉลย ทำไมไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้าใกล้

เว็บไซต์ ETtoday เผยแพร่ภาพที่ถูกแชร์ลงบนเฟซบุ๊กกลุ่ม 路上觀察學院 ของไต้หวัน แสดงให้เห็นภาพท้องถนนทางหลวงที่แน่นขนัด ทำให้รถแต่ละคันต้องชะลอความเร็วลง แต่เมื่อมองไปที่เลนกลางกลับมีเพียงรถ SUV สีน้ำเงินวิ่งอยู่เพียงคันเดียว ไม่มีรถวิ่งนำหน้า หรือแม้แต่รถวิ่งตามหลัง ก็คือไม่มียานพาหนะอื่นๆ อยู่ใกล้เคียงเลย

ชายหนุ่มที่เป็นคนโพสต์ภาพเล่าว่า ในตอนนั้นแฟนสาวของเขาถามว่า ทำไมคนอื่นต้องออกห่างจาก “รถมินิคูเปอร์” คันนั้น ในเมื่อบนถนนรถก็ติดอยู่แบบนี้? เมื่อได้ยินคำถามของแฟนทำให้เขาชำเลืองมองไปยังรถคันดังกล่าว และก็เข้าใจเหตุผลได้ในทันทีที่เห็นโลโก้รถด้านหลังรถ

ตามภาพที่ถูกเผยแพร่จะเห็นได้ว่า ป้ายทะเบียนของ SUV คือ “XXX-8888” และมีสัญลักษณ์ “B” พร้อมปีกที่โลโก้ด้านหลัง อันที่จริงมันไม่ใช่รถมินิคูเปอร์ แต่เป็นรถยนต์หรูยี่ห้อ “เบนท์ลีย์” รถเอสยูวีที่มีราคาแรงอย่าบอกใคร ดังนั้น หากเพื่อนร่วมถนนคันใดเบรกไม่ทันและเผลอชนเข้า คงต้องรับผิดชอบจนกระเป๋าแบนแน่นอน

ทันโลกข่าวต่างประเทศ สาวตะลึง

ทั้งนี้ หลังจากภาพถ่ายดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกมา ชาวเน็ตส่วนใหญ่เข้าใจทันทีว่าทำไมคนขับรถที่อยู่รอบๆ รถหรูคันนั้นถึงมีพฤติกรรมแบบนี้ โดยพวกเขาคอมเมนต์ว่า “แค่เห็นป้ายทะเบียนก็ไม่กล้าชนแล้ว นับประสาอะไรกับเห็นยี่ห้อรถคันนั้น” , “ราคาของมันสามารถซื้อมินิคูเปอร์ได้ 10 คัน”, “เพราะคำนวนค่าเสียหายแล้วถึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้”, “คันนี้เหมาะสำหรับมือใหม่หัดขับ เหมือนถนนทั้งเลนเป็นของคุณ”

ทันโลกข่าวต่างประเทศเพิ่มเติม>>>>ทริปประวัติศาสตร์! อดีต ปธน.ไต้หวัน ‘หม่า อิงจิ่ว’ เตรียมเดินทางเยือนจีน-ลุ้นเข้าพบ ‘สี จิ้นผิง’

ทริปประวัติศาสตร์! อดีต ปธน.ไต้หวัน ‘หม่า อิงจิ่ว’ เตรียมเดินทางเยือนจีน-ลุ้นเข้าพบ ‘สี จิ้นผิง’

อดีตประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว แห่งไต้หวัน เตรียมเดินทางไปเยือนจีนภายในเดือนนี้ (20 มี.ค.) ตามคำยืนยันจากสำนักงานของ หม่า เมื่อวันอาทิตย์ (19)

หม่า-อิงจิ่ว

ซึ่งจะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ผู้นำไต้หวัน ไม่ว่าจะอดีตหรือในตำแหน่งเดินทางไปเยือนจีนแผ่นดินใหญ่ นับตั้งแต่รัฐบาลสาธารณรัฐจีนพ่ายแพ้สงครามกลางเมือง และย้ายไปยังเกาะไต้หวันในปี 1949

แผนการเยือนจีนของ หม่า อิงจิ่ว เกิดขึ้นท่ามกลางความสัมพันธ์ปักกิ่ง-ไทเปที่ตึงเครียดหนัก หลังจากที่จีนใช้ทั้งกิจกรรมทางทหารและมาตรการกดดันทางการเมืองทุกช่องทางเพื่อบีบให้ไต้หวันยอมรับในอธิปไตย

หม่า ซึ่งยังคงเป็นสมาชิกอาวุโสของพรรคฝ่ายค้านก๊กมินตั๋ง (KMT) เคยจัดการประชุมซัมมิตกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีนที่สิงคโปร์มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อปลายปี 2015 ก่อนที่นาง ไช่ อิงเหวิน จากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) จะชนะการเลือกตั้งและได้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีไต้หวันจนถึงปัจจุบัน

สำนักงานของ หม่า ยืนยันว่า เขาจะเดินทางเยือนจีนระหว่างวันที่ 27 มี.ค.-7 เม.ย. และจะไปเยือนเมืองสำคัญต่างๆ ได้แก่ หนานจิง อู่ฮั่น ฉางซา ฉงชิ่ง และเซี่ยงไฮ้

หม่า ยังมีแผนพบปะกับเหล่านักศึกษา และจะไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสงครามโลกครั้งที่ 2 และความขัดแย้งระหว่างจีน-ญี่ปุ่น รวมถึงสถานที่ทางประวัติศาสตร์ในช่วงของการปฏิวัติซินไฮ่ที่นำไปสู่การโค่นล้มราชวงศ์ชิง และการสถาปนาสาธารณรัฐจีนในปี 1911

อย่างไรก็ตาม สำนักงานของ หม่า ยังไม่ได้ระบุชัดเจนว่าเขาจะเข้าพบเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน รวมถึงประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ด้วยหรือไม่

พรรคก๊กมินตั๋งซึ่งมีจุดยืนสนับสนุนความสัมพันธ์อันดีกับจีนเริ่มที่จะแสดงบทบาทมากยิ่งขึ้นหลังจากที่ทั้ง 2 ฝ่ายผ่อนมาตรการควบคุมโควิด-19 ซึ่งเอื้อให้เกิดการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น

เมื่อเดือนที่แล้ว แอนดรูว์ เซี่ย (Andrew Hsia) รองประธานพรรคก๊กมินตั๋ง ก็ได้เดินทางไปเยือนปักกิ่ง และเข้าพบกับ หวัง ฮู่หนิง (Wang Huning) ผู้นำระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งทำให้พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าได้โอกาสออกมาโจมตีพรรคก๊กมินตั๋งว่า “ใกล้ชิดกับปักกิ่งเกินไป” และคิดจะขายแผ่นดินไต้หวันให้จีน รวมถึงวิจารณ์ เซี่ย ว่า “เอาอกเอาใจพวกคอมมิวนิสต์”

อย่างไรก็ดี พรรคก๊กมินตั๋งอธิบายว่าการเปิดช่องทางพูดคุยกับจีนถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในช่วงที่สถานการณ์การเมืองร้อนระอุเช่นนี้

รัฐบาลปักกิ่งปฏิเสธการเจรจาโดยตรงกับ ไช่ อิงเหวิน มาโดยตลอด โดยมองว่าเธอเป็นพวกสนับสนุนแบ่งแยกดินแดน ขณะที่ ไช่ เองย้ำว่าอนาคตของไต้หวันมีเพียงชาวไต้หวันที่มีสิทธิตัดสินใจ และยืนกรานปฏิเสธการอ้างอธิปไตยของจีน

อัพเดทข่าว เพิ่มเติม : สาวน้ำตาตกใน อดีตแฟนหนุ่มแต่งงานกับพี่สาว ซ้ำครอบครัวบีบให้ร่วมเป็นสักขีพยาน

สาวน้ำตาตกใน อดีตแฟนหนุ่มแต่งงานกับพี่สาว ซ้ำครอบครัวบีบให้ร่วมเป็นสักขีพยาน

สาวน้ำตาตกใน อดีตแฟนหนุ่มแต่งงานกับพี่สาว ซ้ำครอบครัวบีบให้ร่วมเป็นสักขีพยาน

ทันโลกข่าวต่างประเทศ

สาวโพสต์คลิปบีบหัวใจ อดีตแฟนหนุ่มแต่งงานกับพี่สาวแท้ๆ ซ้ำครอบครัวยังบังคับให้อยู่ร่วมเป็นสักขีพยานในงานแต่งงาน

กลายเป็นคลิปไวรัลในโลกออนไลน์ หลังจากหญิงสาวอินโดนีเซียรายหนึ่งโพสต์คลิปวิดีโอลงแอปพลิเคชั่น TikTok บัญชีชื่อว่า @jodohnya57k เผยคลิปเหตุการณ์พิธีแต่งงานระหว่างอดีตแฟนหนุ่มของเธอและพี่สาวของเธอ

ภาพดังกล่าวทำเอาเธอถึงกับน้ำตาตกใน เมื่อได้เห็นทั้งสองแต่งงานกัน แม้คลิปดังกล่าวจะมีความยาวเพียง 13 วินาที แต่เผยให้เห็นสายตาอันเจ็บปวดของเธออย่างชัดเจน

ตามรายงานของสื่อต่างประเทศ ผู้หญิงคนนี้อัปโหลดวิดีโอบนโซเชียลมีเดียเมื่อไม่กี่วันก่อน และเขียนในโพสต์ว่า “สิ่งที่เซอร์ไพรส์ในปี 2023 คือแฟนของฉันแต่งงานกับพี่สาวของฉัน ฉันไม่ได้โกรธหรือเกลียด แต่ตอนที่เห็นพวกเขายืนอยู่บนเวทีแต่งงาน ฉันอยากจะกรี๊ดดังๆ ในหมู่แขก!”

หญิงสาวยังชี้ให้เห็นว่ามันยากสำหรับเธอที่จะยอมรับความจริงชั่วขณะหนึ่ง และเธอก็หวังว่าคนอื่นจะเข้าใจ และยอมรับด้านที่เปราะบางของเธอได้

“ฉันเชื่อฉันเชื่อในพรหมลิขิต แต่ทำไมพวกเขาต้องแต่งงานกันเร็วขนาดนี้ พวกเขาให้เวลาฉันได้เข้มแข็งก่อนไม่ได้หรือยังไง”

เธอยังบ่นว่าครอบครัวของเธอรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แทนที่จะปลอบโยนเธอ และช่วยเธอให้พ้นจากความเศร้าโศก พวกเขากลับวุ่นอยู่กับการจัดงานแต่งงานของพี่สาว และบังคับให้เธอมาร่วมเป็นสักขีพยานในช่วงเวลาที่ทรมานนี้

หลังจากคลิปดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีชาวเน็ตจำนวนมากต่างวิพากษ์วิจารณ์ว่าเรื่องราวของเธอช่างเหมือนละครตอนค่ำ หลายคนยังปลอบโยนให้เธอเข้มแข็งและใช้ชีวิตต่อไป

“ฉันเชื่อในพรหมลิขิต ฉันเชื่อว่าเธอจะเจอผู้ชายที่ดีกว่านี้ ที่เขาจะรู้จักถนอมและรักเธอมากขึ้น”

อัพเดทข่าวทันโลกข่าวต่างประเทศมาใหม่ แนะนำข่าวเพิ่มเติม : สื่อเกาหลีใต้เดือด! วอนโลกออนไลน์หยุดดูหมิ่นเหยื่อโศกนาฏกรรม ‘อิแทวอน’

สื่อเกาหลีใต้เดือด! วอนโลกออนไลน์หยุดดูหมิ่นเหยื่อโศกนาฏกรรม ‘อิแทวอน’

สื่อเกาหลีใต้เดือด! วอนโลกออนไลน์หยุดดูหมิ่นเหยื่อโศกนาฏกรรม ‘อิแทวอน’

ในขณะที่เกาหลีใต้กำลังเข้าสู่ช่วงเวลาแห่งการไว้ทุกข์ทั่วประเทศต่อโศกนาฏกรรมในอิแทวอน เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่กลับมีผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์บางส่วน แสดงความคิดเห็นที่สร้างความเสื่อมเสียหรือไม่ก็ประณามกล่าวโทษเหยื่อผู้เสียชีวิต พฤติกรรมที่กระตุ้นให้สื่อมวลชนแดนโสมขาวต้องเขียนตำหนิอย่างดุเดือด

บทความที่เผยแพร่บนหนังสือพิมพ์ดองอาอิลโบ ระบุว่า ประชาคมสื่อสังคมออนไลน์บางส่วนมีพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ หลายคนแสดงความคิดเห็นที่สร้างความเสื่อมเสียหรือประณามกล่าวโทษไปที่ตัวเหยื่อ ในโศกนาฏกรรมนักท่องเที่ยวนับหมื่นคนหลั่งไหลไปยังถนนในย่านอิแทวอน จำนวนหนึ่งเบียดเสียดกรูเข้าไปตรอกแคบๆ จนขาดอากาศหายใจเสียชีวิตอย่างน้อย 154 คน บาดเจ็บ 149 ราย

ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์บางส่วนชี้ว่าไม่เห็นเหตุผลที่ต้องไว้ทุกข์ให้พวกผู้ที่เสียชีวิตจากการแสวงหาความบันเทิงให้แก่ตนเอง นอกจากนี้ ยังปรากฏวิดีโอยั่วยุอารมณ์โกรธของเหตุการณ์ถูกส่งต่ออย่างกว้างขวาง และมีข่าวลือผิดๆ เกี่ยวกับต้นตอเหตุโศกนาฏกรรมครั้งนี้ ซึ่งบทความของหนังสือพิมพ์ดองอาอิลโบ ระบุว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นวาทะสร้างความเกลียดชังที่เกินขอบเขต ต้องรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและจริยธรรม โทษฐานเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ

ทันโลกข่าวต่างประเทศ

ในบทความระบุว่า ผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้เป็นเหยื่อของโศกนาฏกรรม ที่พวกเขาไม่ได้เป็นผู้ก่อ นักศึกษาหลายคนที่เพิ่งสอบกลางเทอมเสร็จ คู่รักที่หมั้นหมายกันและคนหนุ่มสาวที่มาฉลองวันเกิดเพื่อน ต้องมาจบชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุอันเคราะห์ร้าย ครอบครัวเหยื่อบอกว่าพวกเขารู้สึกเจ็บปวดเหมือนกับ “ถูกเอามีดแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนตาย” และ “รู้สึกเศร้าราวกับโลกกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ” และถ้าผู้คนเข้าอกเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้น พวกเขาคงไม่เขียนแสดงความคิดเห็นเยาะเย้ยถางถาง กล่าวโทษไปที่เหยื่อ

บทความระบุว่า มีการปล่อยข่าวลือทฤษฎีสมคบคิดว่าการใช้ยาเสพติดและก๊าซรั่วเป็นต้นตอของอุบัติเหตุ แต่เจ้าหน้าที่และหน่วยดับเพลิงที่สืบสวนเหตุการณ์นี้ยืนยันแล้วว่าข่าวลือต่างๆ เหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องเลย การปล่อยข่าวลือที่ไม่มีมูลใดๆ ไม่ช่วยทำให้สิ่งต่างๆ ดีขึ้น และบางทีอาจต้องรับผิดชอบทางกฎหมาย นอกจากนี้ ยังปรากฏวิดีโอของเหตุการณ์ที่ไม่ผ่านการกลั่นกรองเผยแพร่บนสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมันไร้มนุษยธรรม ก่อความเสียหายแก่ศักดิ์ศรีของเหยื่อและซ้ำเติมบาดแผลของพวกเขา

ทั้งนี้ บทความได้เขียนปิดท้ายว่า ในขณะที่ประชาชนจำนวนมาต่อแถวรอแสดงความเคารพและไว้อาลัยเหยื่อผู้เสียชีวิต ณ แท่นบูชาขนาดใหญ่ที่ทางการจัดเตรียมไว้บริเวณใจกลางกรุงโซล “เราไม่ควรลืมว่าความเป็นหนึ่งเดียวกันและความเห็นอกเห็นใจในชุมชนของเรา จะเป็นตัวขับเคลื่อนความพยายามสร้างสังคมที่มีความเข้มแข็งยิ่งขึ้นและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น”